วันศุกร์ที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2550

วิชาโหรศาสตร์ ของรัชกาลที่ 4


พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ พระนามเดิม “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎสมมติเทววงศ์พงศ์อิศวร กษัตริย์ขัตติยราชกุมาร” เป็นพระราชนัดดาในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกรัชกาลที่ 1 เป็นพระราชโอรส องค์ที่ 43 ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยรัชกาลที่ 2 และเป็นพระองค์ที่ 2 ในสมเด็จพระศรีสุริเยนทราบรมราชินี


การศึกษาของเจ้านายในสมัยโบราณมีวิชาที่ต้องเรียนคือ วิชาโหราศาสตร์ การเรียนวิชาโหราศาสตร์มีการศึกษาเล่าเรียนจากครูบาอาจารย์ เริ่มเรียนจากหัดทำปฏิทิน ศึกษาหลักเกณฑ์ต่างๆ ตลอดจนการโคจรของดวงอาทิตย์ ดวงจันทน์ และดาวพระเคราะห์ต่างๆ เพื่อให้มีความเข้าใจจนถึงขั้นที่จะพยากรณ์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาโหราศาสตร์อย่างลึก ซึ้งทั้งโหราศาสตร์ไทยและของต่างประเทศ แต่การศึกษาของพระองค์ทรงใช้เหตุผล ไม่ทรงเชื่อตามตำราทั้งหมด ทรงคิดแบบวิทยาศาสตร์ ไม่ทรงเชื่อเรื่องดาวหางให้โทษ เมื่อทรงทราบเรื่องดาวหางจะปรากฏก็โปรดให้ประกาศเตือนประชาชนความว่า“ … จึงกล่าวสั่งสอนมาให้รักษาตัวรักษาชีวิตในเหตุที่น่ากลัวเปน แลมีตัวอย่างเคยเปน แต่ฝ่ายราษฎรไทยจีน เปนอันมากทั้งปวงนี้ เปนคนถือผีถือสางถือมดถือหมอดู คนกลัวอะไรมาก อยากอะไรมาก คนทรงผีและหมดดีก็พอใจเอาสิ่งนั้นมาว่า ยุแยงให้ตื่นไปต่างๆ เมื่อเห็นดาวหางครั้งก่อนมีมา ก็พอใจลือกันว่าเจ้าจะตายนายจะล้ม ผู้มีบุญจะมา บ้านเมืองเปนจลาจล ผู้คนจะเกิดรบพุ่งกัน พอใจว่าดังนี้ จะตื่นกันไปเปล่าๆ เปนหนักเปน หนา เหมือนอย่างครั้งปีมะเมียสัมฤทธิ์ศกนั้น (พ.ศ. 2401) เหตุเช่นนั้นก็ไม่ได้เปนได้มีเลย เราเคยจับปดคนทรงผีและหมอดูได้แล้วไม่ใช่ฤา ... ฯลฯ”สมัยโบราณการประกอบพิธีมงคลต่างๆ ต้องถือฤกษ์ถือยาม และทำตามที่เวลากำหนดไว้ ห้ามขาดห้ามเกิน และถ้ากำหนดฤกษ์ไม่ดีต้องหาวิธีแก้ไข พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงรู้วิธีที่จะเปลี่ยนฤกษ์ยามที่ไม่ดีให้เป็นฤกษ์ดีได้ ดังในพระราชหัตถเลขาถึงพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ลงวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2406 ความว่า“ ... ฉันได้ยินว่า เวลาวานนี้ท่านรับสั่งว่าโกนจุก ฉันนึกว่ายังไม่ถึงฤกษ์ ฉันเปนผู้ตัด เขาเกณฑ์ก็วิตกไป กลัวท่านจะขัดเคือง ตัวฉันก็เปนตัวโหร (Astrologer) การที่จริงก็เปนดังนี้ เมื่อเวลาเย็นวันที่ 12 ค่ำนั้น เมื่อฉันจะกลับมา ฉันได้ถามกรมหมื่นบวรวิไชยชาญว่า กำหนดฤกษ์เท่าไร บอกว่า โมง 1 กับ 3 บาท อาทิตย์อยู่ราศีกุมภ์ องษา 20 แล้วลักษณ์ก็เข้าราศีมิน อาทิตย์ตัวกาลกิณีวันเปนพินาศ ศุกร์เปนมหาอุดม กุมลักษณ์ เล็งเสาร์ (Saturn) เปนมหาอุดม กุมลักษณ์ เล็งเสาร์ (Saturn) เปนศรีวันไม่สู้ชอบกลอยู่ แต่ตัวประหัศ (Jupiter) ตกราศี 8 ไปสั่งว่าโมง 3 บาทนั้นเห็นเขาจะคิดให้ได้มหาอุดตรงลักษณ์กระมัง เมื่อไปนั่งคอยฤกษ์อยู่ ฉันดูนาฬิกานกของฉันเห็นเวลา 7h และ 13m แล้วก็ตัดตามฤกษ์ซึ่งกรมบวรวิชัยชาญบอกไว้ ควรมิควรสุดแต่จะโปรดและสั่งฉันไปตัดจุกเข้าในยามจันทร์ก่อน ยังไม่ถึงยามเสาร์ (Saturn) นั้นไม่ผิดอยู่แก่ฉัน

ภาพพระบรมรูปทรงม้ารัชกาลที่ 5 ที่หาชมยากแล้ว



พระบรมรูปทรงม้าที่เป็นภาพหาดูไม่ได้แล้วในปัจจุบันที่ตั้งอยู่ที่หน้า สวนอัมพร กรุงเทพ ฯ

วันอังคารที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2550

พิธีโปรดเกล้าแต่งเป็นผู้พิพากษาสมทบปี 2548


พิธีโปรดเกล้าแต่งเป็นผู้พิพากษาสมทบปี 2548 ณ.ศาลจังหวัดนครนายก

วันจันทร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2550

วันอาทิตย์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2550

แม่ชีธนพร ชัยประคอง หรือ แม่ชีใหญ่


แม่ชีธนพร ชัยประคอง หรือ แม่ชีใหญ่ เดิมเป็นฆราวาสธรรมดา คนหนึ่ง มีชื่อและนามสกุลเดิม คือ นางมาลินี ชัยปกรณ์ เกิดเมื่อวันจันทร์ที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๐๑ ได้ใช้ชีวิตทางโลกจนมีบุตรทั้งหมด ๕ คน

ทางด้านการเงินถือว่ามีฐานะพอสมควร ประกอบกับมีอาชีพค้าขายได้กำไรดี

สำหรับเหตุของการบวชนั้น แม่ชีธนพร บอกว่า เกิดจากเบื่อหน่าย ชีวิตทางโลก เพราะมีความวุ่นวาย โดยเฉพาะปัญหาทางครอบครัว ปัญหาที่สามีไม่สามารถเข้ากันได้กับ ผู้เป็นพ่อ ในที่สุดก็ต้องเลิกรากันไป เกิดความทุกข์ใจ จึงได้หัดสวดมนต์ไหว้พระ เอาคุณพระเป็น ที่พึ่งมาโดยตลอด กระทั่งได้มีโอกาสรู้จักกับ หลวงพ่อปรีชา วัดเขาอิติสุคโต แล้วก็ได้บวชชีพราหมณ์ เริ่มแรกคิดว่าจะบวชเป็นระยะเวลาประมาณ ๑๐ วันเท่านั้น

ส่วนการเปลี่ยนชื่อจาก มาลินี มาเป็น ธนพร นั้น แม่ชีธนพร ให้เหตุผลว่า ครั้งหนึ่งได้ไปกราบ หลวงพ่อเฮง วัดเขาน้อย จ.ระยอง โดยท่านทักว่าให้เปลี่ยนชื่อจากมาลินีเป็นธนพร ชื่อนี้จะทำให้มีคนรู้จักทั่วประเทศ ครั้งแรกไม่เชื่อเนื่องจากไม่รู้ว่าจะเป็นไปได้อย่างไร แต่ก็เลยลองเปลี่ยนดู เพราะถือว่าเป็นมงคล เป็นชื่อที่พระท่านตั้งให้ และก็เป็นจริงดังคำทำนายของหลวงพ่อเฮงจริงๆ

ภายหลังได้เข้าสมาธิ ที่วัดเขาอิติสุคโตเพียงวันแรก ได้รับคำแนะนำ จากหลวงพ่อปรีชาให้แม่ชีธนพรและแม่ชีอีก ๕ ท่าน ขึ้นไปบำเพ็ญภาวนาบนเขา ระหว่างแม่ชีธนพรสามารถเข้าสมาธิ ต่อเนื่องยาวนานถึง ๒ ชั่วโมง จิตรวมลงเป็นหนึ่งเกือบได้จตุถฌาณ จากนั้นบังเกิดภาพนิมิตขึ้นมาเป็นฉากๆ

แม่ชีธนพรเล่าว่า เหมือนกับการฉายสไลด์ภาพเข้ามาแล้วถูกเลื่อนออกไปทีละภาพๆ ภาพที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นเป็นเรื่องราวของตัวเองทั้งสิ้น

จังหวะที่เห็นภาพ จิตตัวรู้ ก็อธิบายเรื่องราวของกรรม ให้เข้าใจตามไปด้วยว่า กรรมที่ทำลงไปเป็นผลให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ตามมา เรื่องราวทั้งหมดย้อนไปตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบัน

ผลแห่งกรรมที่เราทุกคนต้องประสบหากประมาทและไม่เชื่อในเรื่องกรรม

๑.ลูกเถียงพ่อเถียงแม่ จัดว่าทำกรรมชั่วที่หนักหนาสาหัส เมื่อลูกผู้นั้นเริ่มเข้าสังคมจะโดนผู้อื่นว่าร้าย ถกเถียงชนิดคำต่อคำ อาจส่งผลต่อร่างกายทำให้ลิ้นสั้นจุกปาก พูดจาไม่ถนัด พูดลิ้นพันกัน ลิ้นแข็ง เป็นกรรมที่แสดงออกมาทางร่างกาย

๒.ลูกที่ทำร้ายบิดามารดาตนเอง เป็นกรรมหนักว่าข้อแรกหลายเท่า ในศาสนาพุทธท่านว่า ตายไปแล้วย่อมไปเกิดในขุมนรกชื่อตปะนรก มีลักษณะเป็นบัวกรดเผาทำลายอยู่เป็นนิจ และมียมบาลคอยเอาฆ้อนทุบหัวอยู่ร่ำไป

๓.การทำแท้ง เป็นกรรมในหมวดข้อเบียการเบียดน ผู้ที่ทำกรรมนี้จะหากินไม่ขึ้น หาความสุขใจในชีวิตนี้ไม่ได้ เพราะโดนวิญญาณที่จะมาเกิดเป็นลูกของตนจองเวรอยู่ด้วยความอาฆาต

แม่ชีธนพร ยังกล่าวถึงการแก้ไขวิบากกรรมจากการทำแท้งด้วยการทำบุญกุศล ถือศีลกินเจ สวนมนต์ภาวนา อธิษฐานจิตอุทิศบุญจากการเจริญทาน ศีล ภาวนาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร พร้อมทั้งขอให้เขาอโหสิกรรมก็จะสามารถแก้ไขได้ และใครก็ตามที่ต้องการเปิดกรรม

อย่างไรก็ตาม ความเป็นมาของแม่ชีธนพรทั้งหมดอ่านได้จากหนังสือ "เกิดแต่กรรม" แม่ชีธนพรจะเปิดกรรมในวันเสาร์-วันอาทิตย์ และงดวันโกนกับวันพระ สอบถามรายละเอียดได้ที่วัดพิชยญาติการามวรวิหาร คลองสาน กทม. โทร.๐-๒๘๖๑-๔๕๓๐-๑

คัดลอกจากหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

วันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2550





ได้รับพระธาตุอัญเชิญไว้ที่บ้านปี 2550 และแบ่งให้ครอบครัวไว้บูชา

วันที่แม่เสียชีวิตและหลังแม่เสียชีวิต


วันที่แม่เสียชีวิตนั้น...รุ่นพี่ที่นับถือแจ้งให้รีบมาหาแม่ด่วนและได้รับโทรศัพย์จากคุณพ่อ
ให้รีบกลับไปต่างจังหวัดด่วน ในวันนั้นต้องไปช่วยราชการศาลจังหวัดนครนายก ปี2548
พอไปถึงจัวหวัดนครสวรรค์พบคุณแม่นอนไม่ได้สติอยู่ที่ โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์แล้ว
ในคืนวันนั้นได้ปล่อยปลาและใส่บาตร แม่ชีท่านหนึ่งก็ทักถ้าคุณแม่ผ่านช่วงนี้ไปได้ก็จะอยู่
อีกนาน ร่างกายไม่การตอบสนองอะไรเลย มีแต่ช่วยเครื่องช่วยหายใจ และน้ำเกลือเท่านั้น
ลูกๆทุกคนสวดมนต์ให้ ผมไ้ด้นำผ้ายันไปด้วย วางไว้ที่หัวนอนคุณแม่....วันรุ่งขึ้น..
อาการก็ไม่ดี พอตอนบ่ายอาการก็ทรุดลง จนถึงการจากไป หมอและการแพทย์ช่วยด้วยการปั้มหัวใจช่วย และฉีดยากระตุ้นหัวใจให้ 2 เข็มด้วย
จนเวลาสำคัญมาถึงพบว่าหัวใจหยุดเต้นช่วงเย็นต่อหัวค่ำ คืนนั้นก็นำศพคุณแม่ไปไว้ที่
ห้องเย็น และได้ขอแบ่งเส้นผมแม่ออกมา เป็นที่ระลึกโดยพี่สาวไป ก่อนทำจะนำศพเข้ากรุงเทพฯในเที่ยงวันนั้น
ไปที่วัดเทพลีลา และนำศพรดน้ำ ก็จะทำพิธีบรรจุศพลงโลงต่อไป...
ข้าพเจ้าได้บวชเณรให้แก่แม่ ในวันที่บวรเสร์จนั้นได้ทำพิธีโดยพระจำนวน 10 รูป สวดมนต์ให้ศพด้วย หลังฉันเที่ยง กระผมก็อยู่ปลายผ้าที่วางจากโลงศพลงมา..พบว่า..เริ่มสวด คำว่า อานิจังวัดตสงฑ์ขาลา...กระผมได้ร้องไห้ออกมา เป็นอย่าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า สื่ออะไรที่ทำให้กับข้าพเจ้า ร้องไห้ออกมาเช่นนั้น จนพ่อทนไม่ได้ก็ได้เดินออกจากศาลาไป
กระผมได้ไปนิมนต์พระเลขา สมเด็จฯ เป็นประธานฝ่ายสงฑ์ ในการวางผ้าไตรพระราชทาน และร่วมนำหนังสือชื่อ ชีวิตนี้น้อยนัก เพื่อเป็นทำทานแก่แขกในงานศพทุกท่าน.ในครั้งนี้ด้วย

บุญที่เกิดกับข้าพเจ้าในปี 2550

บุญที่เกิดกับข้าพเจ้าในปี 2550
ได้รับพระธาตุนมัสการที่บ้านเป็นศิริมงคล

กรรมที่เกิดกับข้าพเจ้าในวัย 41 ปี

การได้รับอันตรายในสุขภาพ ตรงกับวันที่ 5 มิถุนายน 2550 เวลาประมาณ 02.00 น ข้าพเจ้าได้เข้าห้องน้ำ เพราะปวดท้อง จนมาถึงห้องน้ำแล้ว พอนั้งลงในห้องน้ำ บริเวณโถ ส้วมก็ไม่ทราบ ตนเองเป็นอะไร จนประมาณเท่าไร
รู้สึกตัวอีกครั้งตนเองบาดเจ็บ พบคิ้วแตก และมีเลือดไหลออกมามาก และหัวแตก ไปโรงพยาบาลลาดพร้าว รับการรักษาในคืนนั้น หมอเย็บแผลจำนวน 10 เข็ม และหัว 2 เข็ม นอนรักษาตนเอง1.5 วัน สาเหตุหนึ่งน่าจะมาจากกรรมไม่ดีกับข้าพเจ้าได้ทำในอดีต

มุมที่ประชาชนคิดอ่านแตกต่างไป


ปัจจุบัน รัฐบาลอ่อนแอ สังคมสับสน กลุ่มชนมุ่งแสวงหาอำนาจเดิม ช่วงชิงโอกาสในสังคม คนกรุงนิ่งเฉย ชาวบ้านมาเคลื่อนไหว ทหารสังเกตการณ์ โจรกรรมทั่วไป และวินาศกรรมมีมากทางภาคใต้
แผ่นดินไทย ยังมีพื้นที่สงบ...และสันติสุข

รู้รักสามัคคี...ใช้ระบบสันติวิธี..เพื่อประชาธิปไตย


รู้รักสามัคคี...ใช้ระบบสันติวิธี..เพื่อประชาธิปไตย
ประชาชนชาวไทยที่รักนายหลวงจากใจจริงทุกท่าน..ได้โปรดหยุดการออกมาเคลื่อนไหว…ในวันที่ 30 พ.ค. 2550นี้และหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีคำพิพากษา…อย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มใดที่มาสร้างความไม่สงบต่อบ้านเมืองในครั้งนี้...ขอให้สงบ..สันติวิธี..อย่าออกไปนอกบ้าน ฟังอยู่ที่บ้านดีกว่า...ด้วยความเคราพและรักประชาชน จากใจจริงเพื่อแผ่นดินไทยสงบและร่มเย็นครับ

มุมมองที่ต่างกัน

มุมมองที่ต่างกันของมุนษย์โลก

งานที่ยิ่งใหญ่ในแผ่นดินปี2549

ภาพแห่งความทรงจำที่มีในแผ่นดินจากรัชกาลที่9






ภาพแห่งความทรงจำที่มีในแผ่นดินจากรัชกาลที่9





ภาพแห่งความทรงจำที่มีในแผ่นดินจากรัชกาลที่5

ภาพแห่งความทรงจำที่มีในแผ่นดินจากรัชกาลที่5